
ยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการทำงาน เช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ในท่าทางอิริยาบถเดิม ๆ เป็นเวลานาน การยกของหนักหรือทำงานท่าทางที่ซ้ำ ๆ พฤติกรรมเหล่านี้มักจะส่งผลทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังช่วงบน นำไปสู่อาการเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น อาการปวดศีรษะ อาการปวดร้าวออกกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อต้นคอ ปวดหลัง วิงเวียนศีรษะ ปวดตึงหัวไหล่ โดยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและอาการร่วมที่กล่าวมาข้างต้น เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร
ออฟฟิศซินโดรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome) ซึ่งเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ โดยที่ร่างกายไม่ได้ผ่อนคลายหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเวลานานขณะทำงาน ส่วนใหญ่พบกับกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานในออฟฟิศ นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากท่าทางอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น นั่งหลังค่อม นั่งทำงานบนโต๊ะญี่ปุ่นนาน ๆ ระดับความสูงของโต๊ะกับเก้าอี้ไม่สมดุลกัน การนั่งไขว่ห้าง การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น การก้มคอมากเกินไป รวมไปถึงการมีความเครียดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ
ถ้าปล่อยให้อาการเหล่านี้เกิดขึ้นนานวันโดยไม่ได้รับการดูแลรักษา จะลุกลามกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง ทำให้เกิดพังพืดถาวร หรือเกิดความผิดปกติกับกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลนั้นๆ ได้ เช่น บางรายอาจมีอาการชาไปที่บริเวณแขนหรือมือ จากการที่เส้นประสาทส่วนปลายถูกกดทับมาเป็นเวลานาน อาการออฟฟิศซินโดรมส่วนใหญ่จะส่งผลต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร ระบบตาและการมองเห็น ดังนั้น การสังเกตตัวเองอยู่เสมอและดูแลสุขภาพโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะช่วยให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ดี
สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม
สาเหตุของ “ออฟฟิศซินโดรม” เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ลักษณะการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งอยู่หน้าคอมในท่าเดิมเป็นเวลานาน ขาดการเคลื่อนไหว ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ขยับเคลื่อนไหวร่างกายเป็นระยะเวลานาน ๆ จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและค้างอยู่ในท่าเดิม กล้ามเนื้อบางส่วนถูกยืดค้างทำให้เกิดการปวดกล้ามเนื้อ หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่อง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ อาจเกิดจากปัจจัยอื่นได้ เช่น สภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะหรือเก้าอี้ที่ใช้ทำงานสูงหรือต่ำจนเกินไป ไม่เหมาะกับโครงสร้างของร่างกาย หรือการก้มเป็นเวลานาน เช่น การเล่นโทรศัพท์หรือนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การก้มยกของท่าเดิมบ่อย ๆ เป็นต้น
อาการของออฟฟิศซินโดรม
ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรม มักจะมีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดกล้ามเนื้อเบา ๆ ไปจนถึงกระดูกทับเส้นประสาทหากปล่อยไว้และไม่ทำการรักษา หากใครที่เริ่มมีอาการปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานและสงสัยว่าจะเป็นออฟฟิศซินโดรม สามารถสังเกตอาการได้จากการปวดกล้ามเนื้อบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย ที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณไหล่ สะบัก คอ บ่า ท้ายทอย หลังส่วนบนหรือส่วนล่าง ปวดมือ ข้อมือ ปวดข้อศอก ปวดเข่าหรือข้อเท้า ปวดสะโพกหรือต้นขา มักจะมีอาการปวดเป็นบริเวณกว้าง ปวดร้าวไปบริเวณอื่นใกล้เคียง มีลักษณะการปวดแบบล้า ๆ ไม่สามารถระบุอาการหรือตำแหน่งที่ชัดเจนได้ โดยจะมีอาการปวดตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงและทรมานอย่างมาก หากอาการเริ่มรุนแรงจะมีอาการของระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ชา ปวดร้าว หรืออาจมีอาการหูอื้อ มึนงง ตาพร่ามัว ปวดไมเกรน หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรง หากมีการกดทับเส้นประสาทนานเกินไปอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย อาการทางตา เช่น ปวดตา เมื่อยล้าตา มีอาการแสบตา ระคายเคือง ตราพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล เป็นต้น
วิธีบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรมนั้นสามารถรักษาได้ โดยอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นหลัก โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน และท่าทางในการทำงาน วิธีการรักษานั้นมีหลายวิธีประกอบ ได้แก่
1. การทำกายภาพบำบัดและการออกกำลังกาย การทำกายบริหารเหยียดยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการ การสอดแทรกท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความคงทนของกล้ามเนื้อ การนวด กดจุด หรือการใช้เครื่องมือประคบทางกายภาพบำบัดโดยใช้อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการออกกำลังกาย
2. ลดปริมาณงาน แก้ไขท่านั่งทำงาน และท่านั่งขับรถให้ถูกต้อง เลี่ยงการนั่งในรถและนั่งท่าเดิม ๆ บนโต๊ะทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน
3. งดความเครียด ด้วยวิธีบำบัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การฟังดนตรี การหางานอดิเรกที่ชอบทำ
4. การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยการฝังเข็ม หรือฉีดยาลงบนกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการ
5. การรับประทานอาหารเสริม เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อ
6. การรับประทานยารักษา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาทุกครั้ง
M TALE CALLAGEN ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงกระดูกและข้อต่อ ประกอบด้วย “ยูซีทู” (Undenatured Collagen Type II; UC-II) คอลลาเจนชนิดที่ 2 ช่วยบรรเทาการเสื่อมของข้อต่อ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของข้อ โดยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ที่ข้อเพิ่มขึ้น ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดีและลดความเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อ ทำให้ร่างกายมีการซ่อมแซมข้อตามธรรมชาติ แมกนีเซียม (magnesium) ช่วยควบคุมการส่งกระแสประสาทของร่างกาย สารสกัดจากเปลือกสน (Pine bark extract) และสารสกัดงาดำ (Black Sesame Extract) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammation) ในระดับเซลล์อีกด้วย จึงช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์ข้อ ลดอาการข้อเสื่อมได้ดี ช่วยให้อาการข้ออักเสบหรืออาการปวดต่าง ๆ ทุเลาลง
เอกสารอ้างอิง
แคลเซียมผสมคอลลาเจนบำรุงกระดูก บำรุงข้อต่อ บำรุงผิว CALLAGEN